บทที่ 2 ข้อมูลพื้นฐานโครงการ


บทที่ 2
ข้อมูลพื้นฐานโครงการ

          พิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรุ้ผ้าทอแห่งประเทศไทย เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาทางด้านการอนุรักษ์ผ้าทอ และเป็นสถานที่เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไปในขนาดเดียวกัน เนื่องจากโครงการประเภทนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากโครงการประเภทพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ จึงใช้วิธีการอ้างอิงจากโครงการที่มีลักษณะเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันเพื่อทำการศึกษาทางด้านข้อมูลพื้นฐาน โดยการศึกษาข้อมูลพื้นฐานโครงการจะมีรายละเอียดข้อมูลต่างๆ ซึ่งทำการรวบรวมมาจาก การสัมภาษณ์และสอบถาม หาข้อมูลจากโครงการเดิมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน การศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้โครงการ ข้อมูลกิจกรรมของโครงการ ข้อมูลทางด้านสภาพแวดล้อม ข้อมูลทางด้านสถิติ กรณีศึกษาและเอกสารทางที่เกี่ยวข้องกับโครงการ แล้วจึงนำข้อมูลพื้นฐานเหล่านั้นมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลพื้นฐานทางด้านต่างๆของโครงการ ซึ่งประกอบดังนี้

2.1ข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอย (FUNCTION FACTS)
2.2ข้อมูลพื้นฐานด้านรูปแบบ (FORM FACTS)
2.3ข้อมูลพื้นฐานทางด้านเศรษฐศาสตร์ (ECONOMIC FACTS)
2.4ข้อมูลพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (TECHNOLOGY FACTS)

2.1ข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอย (FUNCTION FACTS)
ข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอย จัดเป็นข้อมูลหลักของโครงการที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มเป้าหมายระดับต่างๆของโครงการกับตัวโครงการ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ และตารางเวลาที่เกิดขึ้นภายในโครงการ โดยข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอย ประกอบไปด้วย
2.1.1 ผู้ใช้โครงการ (Users)
2.1.2 กิจกรรม (Activity)
            2.1.3 ตารางเวลา (Time Schedule)



อ้างอิงจาก หนังสือการจัดทำโครงการทางสถาปัตยกรรม โดย ดร.นฤพนธ์ ไชยยศ และ ดร. อวิรุทธ์ เจริญทรัพย์



2.1.1 ผู้ใช้โครงการ (Users)

          1.โครงสร้างองค์กร(Authority Structure)

การศึกษาโครงสร้างองค์กรเป็นการศึกษาองค์กรทางด้านระบบการบริหารและการจัดการภายในองค์กรของโครงการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เนื่องจากโครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรุ้ผ้าทอแห่งประเทศไทย เป็นโครงการเพื่อการศึกษาทางด้านการอนุรักษ์ผ้าทอ และเป็นสถานที่เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอไปในขนาดเดียวกัน ดังนั้นการศึกษาข้อมูลทางด้านโครงสร้างองค์กร จึงทำการศึกษาค้นคว้าโดยอ้างอิงจากรูปแบบผังองค์กรของพิพิธภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายกันทั้งในของรัฐบาลและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งลำดับความสำคัญของหน่วยงานต่างๆที่จะปรากฏในผังโครงสร้างองค์กร จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักดังนี้
1.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
            พิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรุ้ผ้าทอแห่งประเทศไทยเป็นโครงการของภาครัฐบาล ซึ่งเป็นศุนย์การเรียนรู้ของคณะนฤมิตศิลป์ สาขาแฟชั่นดีซายย์ โดยภายใต้สังกัดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวบกับสถาบันพัฒาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นหน่วยงานหลักที่จะควบคุมบริหารการจัดการของโครงการ
2.หน่วยงานภายในองค์กร
สามารถนำมาสรุปในรูปแบบของแผนผังโครงสร้างองค์กร(Organization Chart ) ได้ดังนี้



 ผังแสดงโครงสร้างองค์กร โครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรุ้ผ้าทอแห่งประเทศไทย




2.ปริมาณผู้ใช้โครงการ(Number of User)


          ในการพิจารณาปริมาณกลุ่มผู้ใช้โครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรุ้ผ้าทอแห่งประเทศไทย
 จะอ้างอิงถึงข้อมูลสถิติ และกรณีศึกษาที่จัดเป็นประเภทเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกับโครงการ โดยสามารถแยกประเภทกลุ่มผู้ใช้โครงการได้ 3ประเภท ดังนี้
          -กลุ่มผู้ใช้หลัก
            -กลุ่มผู้ใช้รอง
            -กลุ่มผู้บริหาร และพนักงาน

            กลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก
          กลุ่มผู้ใช้หลักของโครงการ คือกลุ่มบุคคลที่เข้าชมนิทรรศการ มาศึกษาความรู้ทางด้านผ้าทอ แฟชั่นผ้าทอ อันประกอบไปด้วยนักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักจะมีอายุประมาณ16-25

                        กลุ่มผู้ใช้โครงการรอง
            กลุ่มผู้ใช้โครงการรอง คือกลุ่มบุคคลชาวต่างประเทศที่มาประกอบกิจกรรมต่างๆที่นอกเหนือจากการเข้าชม เรียนรู้ อาทิเช่น การติดต่อสอบถามข้อมูลต่างๆ กลุ่มผู้ที่มาชมและเกี่ยวข้องกับการจัดนิทรรศการ การเดินแฟชั่นโชว์ หรือการจัดประชุมต่างๆ กลุ่มผู้ที่มาใช้บริการข้อมูลข่าวสารจากห้องสมุดและโสตทัศนูปกรณ์ และกลุ่มผู้ที่มาใช้บริการทางด้านอื่นๆ อาทิเช่น บริการจากร้านค้า และร้านอาหาร โดยมีรายละเอียดปริมาณของกลุ่มผู้ใช้โครงการรอง ดังนี้



ที่มา: จากการคำนวนค่าเฉลี่ย Case Study 01 และบทสัมภาษณ์ที่ 5





 อ้างอิงจากบทที่1 หน้าที่1-3 แสดงปริมาณกลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก
  


 แผนภูมิที่ 2.1 แสดงสัดส่วนของกลุ่มผู้ใช้โครงการรองของสถาบันส่งเสริมแฟชั่นดีไซน์นานาชาติ


ที่มา : จากตารางที่2.2 แสดงปริมาณกลุ่มผู้ใช้โครงการรอง



กลุ่มผู้บริหาร และพนักงาน
          กลุ่มผู้บริหารและพนักงาน คือกลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับโครงการในแง่ของการบริหารโครงการ และบริการแก่กลุ่มผู้ที่มาใช้โครงการหลัก และผู้ใช้โครงการรอง อีกทั้งการบริหารโครงการ โดยมีรายละเอียดปริมาณของกลุ่มผู้บริหารและพนักงาน ดังนี้


ที่มา: จากการคำนวณค่าเฉลี่ย Case Study 01 และบทสัมภาษณ์ที่ 5






 ที่มา : จากตารางที่2.2 แสดงปริมาณกลุ่มผู้ใช้โครงการรอง

กลุ่มผู้บริหาร และพนักงาน
          กลุ่มผู้บริหารและพนักงาน คือกลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับโครงการในแง่ของการบริหารโครงการ และบริการแก่กลุ่มผู้ที่มาใช้โครงการหลัก และผู้ใช้โครงการรอง อีกทั้งการบริหารโครงการ โดยมีรายละเอียดปริมาณของกลุ่มผู้บริหารและพนักงาน ดังนี้


ที่มา: จากการคำนวณค่าเฉลี่ย Case Study 01 และบทสัมภาษณ์ที่ 5


ตารางที่ 2.3 แสดงปริมาณผู้ใช้โครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรุ้ผ้าทอแห่งประเทศไทย(วัน)
กลุ่มผู้ใช้
ปริมาณ(คน)
1.กลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก
240
2.กลุ่มผู้ใช้โครงการรอง
650
3.กลุ่มผู้บริหาร และพนักงาน
31
รวม
921
ที่มา : จากการอ้างอิงจากการคิดปริมาณผู้ใช้โครงการในตารางที่2.1, 2.2 และ2.3







ลักษณะผู้ใช้โครงการ (USER CHARACTERISTICS)
ในการพิจารณาในส่วนของกลุ่มผู้ใช้โครงการ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ
-กลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก
-กลุ่มผู้ใช้โครงการรอง
-กลุ่มผู้บริหารและพนักงาน
โดยผู้ใช้โครงการแต่ละกลุ่มก็จะมีลักษณะเฉพาะตัว โดยสามารถแบ่งกลุ่มผู้ใช้โครงการทั้ง 3 กลุ่มสรุปออกมาตามลักษณะของผู้ใช้ได้เป็น 3 ด้านคือทางกายภาพ และทางสังคม ได้ดังนี้

1.ทางด้านกายภาพ(Physical)
ลักษณะผู้ใช้โครงการทางด้านกายภาพ คือ ลักษณะทางร่างกาย และอายุของกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการลักษณะทางกายภาพเฉพาะ จำแนกได้ดังนี้
1.1กลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก
-มีอายุระหว่าง 16-25 ปี ไม่จำกัดเพศ
-มีสุขภาพพลานามัยร่างกายแข็งแรง และมีความสมบูรณ์พร้อม
-ไม่มีข้อบกพร่องทางกายภาพที่เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่างๆ
1.2กลุ่มผู้ใช้โครงการรอง
-มีอายุระหว่าง 25-50 ปี ไม่จำกัดเพศ
-มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์
1.3กลุ่มผู้บริหารและพนักงาน
-มีอายุระหว่าง 25-45 ปีไม่จำกัดเพศ
-มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์
-ไม่มีข้อบกพร่องทางกายภาพที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน



2.ทางด้านสังคม(Social)
          ลักษณะผู้ใช้โครงการทางด้านสังคม คือ ลักษณะสังคมที่แตกต่างกันจะทำให้ผู้ใช้มีพฤติกรรมการใช้สอยพื้นที่ต่างกัน มีผลต่อความชอบในเรื่องรสนิยมความชอบ การที่ลักษณะของสังคมแตกต่างอาจเนื่องมาจาก ระดับการศึกษา เชื้อชาติ ศาสนา อายุ และเพศ  จำแนกได้ดังนี้
3.1กลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก
            -ลักษณะทางสังคมของกลุ่มวัยรุ่น หรือกลุ่มผู้ใช้โครงการหลักอายุระหว่าง 19-25 ปี จะมีลักษณะสังคมที่มักอยู่กับเพื่อนฝูง ชอบเข้ากับกลุ่มคนจำนวนมาก แต่ในการทำงานชอบที่จะต้องการพื้นที่ส่วนตัว แต่กล้าแสดงออกในที่สาธารณะชน และในพื้นที่ที่มีคนจำนวนมาก
            -ลักษณะของกลุ่มวัยรุ่น จะมีระดับการศึกษาไม่เกินระดับปริญญาตรี ซึ่งจะมีรสนิยมแบบหนึ่งที่ต่างจากกลุ่มคนที่ทำงาน หรือมีอายุ
3.2กลุ่มผู้ใช้โครงการรอง
            -ลักษณะทางสังคมของกลุ่มคนที่มีอายุ 25-50ปี เป็นไปในลักษณะชองสังคมกลุ่มคนทำงาน ความสัมพันธ์กันระหว่างคนในกลุ่มน้อย อีกทั้งต้องการความเป็นส่วนตัวในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
3.3กลุ่มผู้บริหารและพนักงาน
            --ลักษณะทางสังคมของกลุ่มคนที่มีอายุ 25-45ปี เป็นไปในลักษณะของสังคมกลุ่มคนทำงานที่ต้องการพื้นที่บางส่วนในการปฎิสัมพันธ์กัน  อีกทั้งต้องการความเป็นส่วนตัวในการทำงานต่างๆ
           

2.1.2 กิจกรรม (Activities)
เป็นการศึกษาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับกิจกรรม ลักษณะของกิจกรรม และรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในโครงการ  การตอบสนองของพฤติกรรมต่อกิจกรรมในโครงการ รวมไปถึงช่วงเวลา และความถี่ของการทำกิจกรรมนั้นๆภายในโครงการ
ลักษณะกิจกรรมของผู้ใช้โครงการจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ใช้โครงการโดยสามารถแยก ได้ดังนี้
1.ประเภทของกิจกรรม(Types of Activity)
2.รูปแบบพฤติกรรมของผู้ใช้(User’s Behavioral Patterns)
3.พฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของกิจกรรม(Behavior  and Environment)









2.รูปแบบพฤติกรรมของผู้ใช้(User’s Behavioral Patterns)


จากการศึกษาถึงรูปแบบพฤติกรรมของการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มผู้ใช้สอยโครงการ พิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอนั้นพบว่า ลักษณะของรูปแบบพฤติกรรมมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันในแต่ละกลุ่มของผู้ใช้โครงการ ซึ่งสามารถจำแนกรูปแบบพฤติกรรมต่างๆตามลักษณะของกลุ่มผู้ใช้โครงการ ได้ดังนี้
2.1รูปแบบพฤติกรรมของนักเรียน นักศึกษา



2.2รูปแบบพฤติกรรมกลุ่มบุคคลภายนอกที่เข้ามาในโครงการ
ลักษณะของการเข้ามาดำเนินกิจกรรมภายในสถาบันของบุคคลภายนอก จะเป็นไปในรูปแบบของการเข้ามาชมการจัดแสดงแฟชั่นโชว์ การชมงานนิทรรศการ การรับประทานอาหาร การพักคอย การเข้ามาสอบถามข้อมูล และการเข้ามาติดต่อธุระกับโครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้

2.3รูปแบบพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลภายนอกที่มาชมการจัดแสดงแฟชั่นโชว์
            ลักษณะของกลุ่มบุคคลที่แยกรายละเอียดของรูปแบบพฤติกรรมอย่างชัดเจน ในการเข้ามาภายในสถาบันเพื่อชมการจัดแสดงแฟชั่นโชว์โดยเฉพาะ จะมีรูปแบบพฤติกรรม ดังนี้
           




 2.4รูปแบบพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลภายนอกที่มาชมการจัดแสดงนิทรรศการ
            ลักษณะของกลุ่มบุคคลที่แยกรายละเอียดของรูปแบบพฤติกรรมอย่างชัดเจน ในการเข้ามาภายในสถาบันเพื่อชมงานนิทรรศการโดยเฉพาะ ทั้งในส่วนของนิทรรศการถาวร และนิทรรศการชั่วคราว จะมีรูปแบบพฤติกรรม ดังนี้



2.5รูปแบบพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลภายนอกที่เข้ามาใช้บริการส่วนห้องสมุด และโสตทัศนูปกรณ์
            ลักษณะของกลุ่มบุคคลที่แยกรายละเอียดของรูปแบบพฤติกรรมอย่างชัดเจน ในการเข้ามาภายในสถาบันเพื่อเข้ามาใช้บริการในส่วนห้องสมุด และโสตทัศนูปกรณ์ ทั้งในส่วนของนักศึกษา อาจารย์ภายในโครงการ และกลุ่มบุคคลภายนอกทั่วไปที่สนใจ
             
2.6รูปแบบพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริหาร พนักงาน และอาจารย์

2.7รูปแบบพฤติกรรมของกลุ่มผู้ที่เข้ามาจัดแสดงงานต่างๆภายในโครงการ
2.8รูปแบบพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริการอาคารของโครงการ
2.8รูปแบบพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริการอาคารของโครงการ

2.1.3 ตารางเวลา (Time Schudule)
            ลักษณะของการวิเคราะห์ข้อมูลของโครงการโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เวลาในแต่ละส่วนต่างๆของภายในโครงการ กับลักษณะของการดำเนินกิจกรรมภายในโครงการ โดยเปรียบเทียบกับเวลาการใช้งานของโครงการต่างๆในกรณีศึกษา


            การแสดงตารางเวลาของแต่ละองค์ประกอบโครงการ(Functional Component) จะแสดงให้เห็นถึงทุกส่วน(Zone) สัมพันธ์กับทุกกลุ่มผู้ใช้โครงการตารางเวลาจะมีผลต่อการกำหนดการปิด เปิดโครงการ เป็นข้อกำหนดให้ผู้ออกแบบได้พิจารณาภึงการแยกองค์ประกอบดังกล่าว ให้มีการเข้าออกในช่วงที่ปิดทำการโครงการ นอกจากนี้ยังมีผลต่อการกำหนดระบบเทคโนโลยีอาคาร
            โดยลักษณะตารางเวลาที่ทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์        มีรายละเอียดดังนี้
           
ตาราง2.7 แสดงรายละเอียดเวลาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆภายในโครงการแยกตามแต่ละองค์ประกอบของโครงการ ภายในหนึ่งสัปดาห์
                 DAY
FUNCTIONAL COMPONENT
SUNDAY
MONDAY
TUESDAY
WENDNESDAY
THURSDAY
FRIDAY
SATURDAY
REMARKS
1.ส่วนบริหาร








กรณีศึกษา






2.ส่วนจัดแสดงนิทรรศการและส่วนจัดแสดงแฟชั่นโชว์













3.ส่วนการเรียนรู้













4.ส่วนห้องสมุด และโสตทัศนูปกรณ์












5.ส่วนสาธารณะ













6.ส่วนบริการอาคาร















ที่มา:กรณีศึกษาที่01-04

 
7.ส่วนที่จอดรถ
















ตาราง2.8 แสดงรายละเอียดเวลาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆภายในโครงการแยกตามแต่ละองค์ประกอบของโครงการ ภายในหนึ่งวัน
TIME
FUNCTIONAL COMPONENT
CASE STUDY
8.00-9.00
9.00-10.00
10.00-11.00
11.00-12.00
12.00-13.00
13.00-14.00
14.00-15.00
15.00-16.00
16.00-17.00
17.00-18.00
18.00-19.00
19.00-20.00
20.00-21.00
21.00-22.00
22.00-23.00
23.00-24.00
24.00-08.00
REMARKS
1.ส่วนบริหาร

















2.ส่วนการศึกษา















3.ส่วนจัดแสดงนิทรรศการและส่วนจัดแสดงแฟชั่นโชว์
















4.ส่วนห้องสมุด และโสตทัศนูปกรณ์
















5.ส่วนสาธารณะ
















6.ส่วนบริการอาคาร

















7.ส่วนที่จอดรถ

ที่มา:กรณีศึกษาที่01-04
 

กลุ่มบุคคลทั่วไป
 


กลุ่มผู้บริหารและพนักงาน
 





การใช้งานในกรณีพิเศษ
 


กลุ่มนักศึกษา
 




 










2.2ข้อมูลพื้นฐานทางด้านรูปแบบ (FORM FACT)
           
            ศึกษาข้อมูลทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้ง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งของโครงการ รวมไปถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของโครงการ ที่เป็นปัจจัยในการออกแบบ
           
2.2.1ที่ตั้ง(Site) และสภาพแวดล้อม (Environment)
            ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับที่ตั้ง และสภาพแวดล้อมของโครงการที่นำมาใช้ในการเลือกที่ตั้งโครงการ(Criteria for Site Selection) โดยอ้างอิงจากโครงการที่เป็นกรณีศึกษา โดยโครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอ มีหัวข้อในการพิจารณา ดังนี้



ตารางที่2.9 สรุปความสำคัญของหลักเกณฑ์การเลือกที่ตั้งโครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ผ้าทอ   
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ตั้ง
(CRITERIA FOR SELECTION)
ระดับความสำคัญต่อการเลือกที่ตั้งโครงการ
มากที่สุด
มาก
ปานกลาง
น้อย
น้อยที่สุด
ไม่มี
สภาพการตลาดและส่วนแบ่ง  (Marketing Share)



*


ราคาที่ดิน  (Land Cost)
*





การใช้ที่ดิน (Land Use)


*



โครงสร้างบริการสาธารณะพื้นฐาน(Infrastructure and Facilities)




*

ความสะดวกในการเข้าถึง (Accessibility)

*




การคมนาคม และสภาพการจราจร  (Transportation and Traffic)



*


ลักษณะประชากร (Population)




*

ความปลอดภัย (Safety)




*

ความเหมาะสมของประเภทอาคาร(Conformity)
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ตั้ง
(CRITERIA FOR SELECTION)


*



การมองเห็นที่ตั้งและลักษณะเชื้อเชิญ (Approach and Invitation)

*




ทิวทัศน์  (View from Site)


*



ความสัมพันธ์โครงการที่เกี่ยวข้อง(Linkage)
*





แนวโน้มการได้รับประโยชน์จากระบบขนส่งมวลชน (MASS TRANSIT)

*




การขยายตัวโครงการ  (Project Expansion)




*

แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน (Trend in Changing Land Use)




*

แนวโน้มของการอยู่ในที่เวนคืน(Expropriation)




*


ที่มา: อ้างอิงกรณีศึกษา 01-04
 
แนวโน้มการขยายตัวของชุมชนข้างเคียง


*







2.2.2จินตภาพ(Image)
            การศึกษาข้อมูลของลักษณะภายนอกและภายในที่ปรากฏออกมาในงานสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็นทางด้านรูปทรง สี องค์วัสดุ หรือประกอบอื่นๆที่มองเห็นแล้วก็ให้เกิดจินตภาพที่สอดคล้องกับแนวความคิดของโครงการ
             โดยมีหัวข้อรายละเอียดในการพิจารณา ดังนี้
               
1.จินตภาพภายนอก(External Image)
ศึกษาภาพรวมที่ปรากฏอยู่ภายนอกของงานสถาปัตยกรรมของอาคารที่เป็นกรณีศึกษา เพื่อให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ แนวความคิด  วิธีการจัดการ และวิธีการออกแบบให้ได้ตามแนวความคิดที่วางไว้  โดยมีรายละเอียดย่อยในการพิจารณาดังนี้

รูปที่2.1  แสดงจินตภาพภายนอกด้านรูปร่างและรูปทรงที่มา www.google.in.th

1.2ลักษณะ(Characteristic)

สถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงศิลปวัฒนธรรมของประเทศที่ตั้ง ทั้งในส่วนของรูปทรง พื้นที่ว่าง วัสดุ และองค์ประกอบ ต่างสร้างภาพลักษณ์เฉพาะตัวให้แก่งานสถาปัตยกรรม ลักษณะของงานสถาปัตยกรรมที่สะท้อนภาพลักษณ์ออกมาอย่างโดดเด่น และความนำสมัย ซึ่งสามารถบ่งบอกประเภทของโครงการออกมาได้อย่างชัดเจนในรูปลักษณ์ของงานสถาปัตยกรรม
1.3รูปแบบ(Style)
เป็นโครงการที่มีรูปแบบและสไตล์ที่ชัดเจนของยุคสมัย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโครงการ
1.4สัดส่วน(Proportion) จังหวะ(Rhythm) และลำดับ(Order/Hierarchy)
โครงการที่มีสัดส่วนของอาคารที่สวยงาม สามารถบอกความสำคัญของแต่ละการใช้ประโยชน์ใช้สอยภายในโครงการได้อย่างชัดเจน อีกทั้งการใช้องค์ประกอบต่างๆที่เห็นได้จากภายนอก เป็นตัวกำหนดจังหวะ และลำดับของตัวงานสถาปัตยกรรมซึ่งมีผลต่อมุมมองจากภายนอกสู่ตัวอาคาร
1.5มุมมองของการเข้าถึง(Approach)
1.6สภาพแวดล้อมโครงการ(Landscape)
โครงการที่มีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม โดยเฉพาะการออกแบบอาคารให้เข้ากับธรรมชาติโดยรอบได้อย่างลงตัว และสามารถใช้สภาพแวดล้อมมาเสริมสร้างภาพลักษณ์โครงการให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
2.จินตภาพภายใน(Internal Image)
          การศึกษาถึงลักษณะจินตภาพภายในของโครงการที่เป็นกรณีศึกษา ซึ่งนำมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบพื้นที่ว่างของโครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรุ้ผ้าทอ โดยมีรายละเอียดในการพิจารณา ดังนี้
2.1ลักษณะและคุณภาพของพื้นที่ว่าง(Character and Quality of Space)
โครงการที่มีลักษณะและคุณภาพของพื้นที่ว่างที่สามารถสื่อภาพลักษณ์ของโครงการออกมาได้ดี โดยเฉพาะในการเชื่อมพื้นที่ว่างภายในแต่ละส่วนของอาคาร การเชื่อมต่อพื้นที่ว่างภายในและภายนอกอาคาร ตลอดจนพื้นที่ว่างที่เป็นพื้นที่ว่างหลักของโครงการนั้นต่างมีลักษณะที่โดดเด่น  

2.2จังหวะ(Rhythm) และลำดับของพื้นที่ว่าง (Order /Hierarchy of Space)
2.3แสงในโครงการ(Lighting)
2.4  ข้อมูลพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ( TECHNOLOGY FACTS )
ศึกษาข้อมูลต่าง ๆที่เป็นพื้นฐานระบบเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาคาร เพื่อ
ทราบถึงงานระบบของโครงการและสามานำมาเลือกใช้วิเคราะห์และกำหนดแนวความคิดได้อย่างถูกต้อง โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
2.4.1 ระบบประกอบอาคาร(Building System)
ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับงานระบบอาคารงานระบบภายในอาคาร การกำหนดชนิดประเภท ความสามารถในการทำงาน ตลอดจนประสิทธิภาพต่างๆ  และระบบอื่นๆที่มีความจำเป็นต่อโครงการ โดยระบบภายในอาคารทั่วไปของโครงการ มีดังนี้
1.ระบบโครงสร้าง(Structure)
2.ระบบปรับอากาศ(Air-Conditioning)
3.ระบบสุขาภิบาล(Sanitary)
3.1ระบบประปา
3.2ระบบน้ำเสีย
3.3ระบบโสโครก
3.4ระบบบำบัดน้ำเสีย
4.ระบบไฟฟ้ากำลัง(Electricity)
5.ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน(Emergency System)
6.ระบบป้องกันฟ้าผ่า(Lighting Protection System)
7.ระบบสื่อสารโทรคมนาคม(communication)
7.1ระบบโทรศัพท์(Telephone System)
7.2ระบบโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV System)
8.ระบบป้องกันอัคคีภัยและระบบดับเพลิง(Fire Protection Extinguishers)
9.ระบบแสงสว่าง(Lighting)
10.ระบันไดเลื่อน(Escalator)
11.ระบบลิฟต์ขนส่ง(Elevator)
12.ระบบกำจัดขยะ

2.4.2เทคโนโลยีพิเศษ(Specific Technology)


ระบบเทคโนโลยีพิเศษเฉพาะโครงการสถาบันส่งเสริมแฟชั่นดีไซน์นานาชาติ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดแสดงงาน ทั้งในส่วนของการจัดแสดงนิทรรศการ และการจัดแสดงแฟชั่นโชว์ รวมถึงโครงสร้างที่เป็นเทคโนโลยีพิเศษที่ใช้รองรับส่วนปฏิบัติการทางการศึกษา โดยมีรายละเอียดหัวข้อในการพิจารณา  ดังนี้
1 .ระบบป้องกันการสั่นสะเทือน 
2.ระบบเวที
3.ระบบเสียงในห้องแสดง  (Sound System)
4.ประเภทวัสดุซับเสียง
5.ระบบแสงสำหรับเวทีการแสดง
6. ระบบการให้เสียงจากลำโพง
7.ระบบบริหารอาคาร ( Building Management System )
8.ระบบโครงสร้างอาคาร ( Building Structure )
โดยแต่ละข้อมีรายละเอียดสอดคล้องกับโครงการดังนี้

1 .ระบบป้องกันการสั่นสะเทือน 
ระบบที่ 1 Resilient Floor Unit
ระบบที่ 2 Resilient Ceiling Hanker
ระบบที่ 3 Resilient Wall Solater
จะเป็นการใช้ระบบป้องการการสั่นสะเทือน เพื่อป้องกันอุปกรณ์การเรียนการสอนบางชนิดที่มีความไวต่อการสั่นสะเทือนสูง โดยนำมาใช้กับห้องเรียนที่มีการสั่นสะเทือนของเครื่องจักร
2.ระบบเวที
            ระบบที่1 Hydrolic
            ระบบที่2 ระบบเฟืองหมุน
เป็นระบบในการยกระดับเวทีขึ้น เพื่อใช้สร้างพื้นที่ว่างพิเศษที่ต้องการ เช่นการวางวงดนตรีออเครสตร้า การจัดวางงานแสดงพิเศษ การใช้เดินแบบแฟชั่นโชว์ การเปิดตัวแสดงสินค้าต่างๆ ซึ่งระบบการยกระดับเวทีแบบ Hydrolic นี้จะมีประสิทธิภาพดีกว่าระบบเฟืองหมุน แต่มีราคาที่แพงกว่าเช่นกัน ดังนั้นการเลือกใช้ควรจะคำนึงถึงเงินลงทุนเบื้องต้นด้วย


3.ระบบเสียงในห้องแสดง  (Sound System)
1.เสียงระบบ   Centrally Locate System คือ การให้เสียงด้านหน้าของผู้ชมในระดับตำแหน่งที่สูงกว่า และอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าแหล่งกำเนิดเสียง
2.เสียงระบบ Stereophonic System คือการให้เสียงจากลำโพง 2กลุ่ม หรือมากกว่ากระจายเสียงไปยังรอบๆเวที
3.เสียงสะท้อน Rever Beration ให้ความเหมาะสมในการฟัง

4.ประเภทวัสดุซับเสียง
1.วัสดุซับเสียงเป็นรูปโปร่งเบาลักษณะคล้ายฟองน้ำ (Porous) ดูดซับเสียงได้ดี ในระดับเสียงที่มีความถี่สูง
2.วัสดุดูดซับเสียงสะท้อนแบบ Membrane ดูดซับเสียงได้ดีกว่าในระดับความถี่ที่ต่ำ
3.วัสดุดูดซับเสียงสะท้อน (Resnance ) ดูดซับเสียงได้ดีในระดับความถี่ช่วงกลาง
4.วัสดุดูดซับเสียงแบบประกอบกัน โดยประกอบด้วยวัสดุประเภทที่ 1 และประเภทที่ 3 ทำให้การดูดซับเสียงทำได้ดีในช่วงความถี่กว้างขึ้นกว่าชนิดอื่นๆ
   การใช้วัสดุซับเสียง ควรจะระมัดระวังและเลือกวิธีที่ถูกต้องเพราะอาจจะทำให้คุณสมบัติการดูดซับเสียงเปลี่ยนไป
5.แสงสำหรับเวทีการแสดง
แสงสำหรับใช้ในเวทีการแสดงเพื่อสร้างบรรยากาศ และสร้างเทคนิคพิเศษต่างๆที่เปลี่ยนไปตามเทคนิคการออกแบบ และเทคนิคการแสดง ตำแหน่งวางโคมไฟต้องเป็นไปตามเนื้อเรื่อง และบรรยากาศที่ต้องการ จึงไม่สามารถกำหนดตำแหน่งต่างๆของดวงไฟได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการออกแบบจึงต้องกำหนดบริเวณติดตั้งดวงไฟให้ครอบคลุมเนื้อที่การแสดงให้มากที่สุด และมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ในการใช้งานได้
            ตำแหน่งของดวงไฟที่ส่องลงมาจากเพดานจะอยู่เหนือเพดาน โดยมีช่องเปิดสำหรับให้แสงผ่านเข้าสู่ฉากหรือเวที ดวงไฟเหล่านี้จะต้องสามารถเปลี่ยนสี ชนิดและตำแหน่งได้ อุปกรณ์ที่ติดตั้งดวงไฟเหล่านี้คือ Lighting Bridges ซึ่งเป็นแนวยาวกับแนวทางเดิน ส่วนทางด้านหลังเป็นส่วนสำหรับควบคุมดวงไฟทั้งในการปิด เปิด หรือการความคุมปริมาณความเข้มแสง




6. ระบบการให้เสียงจากลำโพง
ลำโพงเป็นส่วนสำคัญในการออกแบบ เพราะเป็นแหล่งที่ให้กำเนิดเสียงโดยตรง โดยตำแหน่งการติดตั้งลำโพงโดยทั่วไปมี 3 ระบบ คือ
1.Distributed  System เป็นการติดตั้งอุปกรณ์เสียงที่กำเนิดเสียงทางด้านส่วนบน
2.Centrally Located  System เป็นการติดตั้งและให้เสียงทางด้านข้าง
3.Stereophonic System เป็นการติดตั้งและให้เสียงลำโพงเป็น 2จุดหรือมากกว่านั้นรอบเวที
ตำแหน่งและวิธีในการติดตั้งนี้ ไม่มีหลักการหรือตำแหน่งตายตัว โดยการทำงานอาจจะใช้หลายระบบผสมกัน หรือมีการให้เสียงจากตำแหน่งอื่นเพิ่มเติมตามความเหมาะสมซึ่งจะได้อารมณ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพของสถานที่ ซึ่งวิศวกรรมทางด้านเสียง จะต้องทำงานควบคู่กับสถาปนิก เพื่อให้การติดตั้งระบบเสียงที่ได้ผลในการฟังและในด้านความสวยงาม

7.ระบบบริหารอาคาร ( Building Management System )
เป็นการใช้ระบบอัตโนมัติในการบริหาร และทรัพยากรของอาคาร จากส่วนกลาง ซึ่งช่วยสร้างประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมให้ดีมากยิ่งขึ้น
1.การบริหารสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริหารงานซ่อมบำรุง ( Facility & maintenance Management) ทำหน้าที่ควบคุมและตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ
2.ระบบควบคุมการใช้พลังงาน ( Energy management) ทำหน้าที่วางแผนและควบคุมการใช้พลังงานของอาคาร โดยจะบริหารให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยเสียค่าใช้จ่ายต่ำสุด
3.ระบบรักษาความปลอดภัย ( Security Management )ทำหน้าที่ตรวจตรา และตรวจสอบ การเข้า-ออกอาคารของบุคคลประเภทต่างๆ โดยใช้อุปกรณ์ ตั้งแต่ ระบบควบคุมทางเข้า-ออก (Access Control) ,อุปกรณ์ตรวจสอบความร้อน ,กล้องวงจรปิด ,ระบบตรวจสอบการเคลื่อนไหว ฯลฯ โดยจะต่อสัญญาณเข้ากับอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยส่วนกลาง ซึ่งควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์
4.ระบบบริหารสายสัญญาณ ( Cable Management) สายสัญญาณเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งการวางระบบสายสัญญาณจะไม่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่จะเกิดขึ้นค่อยเป็นค่อยไปในระหว่างการใช้อาคาร ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนชนิดและตำแหน่งของอุปกรณ์ เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาในอาคาร ซึ่งจะใช้โปรแกรมเก็บข้อมูลการวางสายสัญญาณของอาคารทั้งหมด เพื่อช่วยในการวางแผน แก้ไขเพิ่มเติมสายสัญญาณต่างๆ ในอนาคต
5.ระบบบริหารความปลอดภัยของผู้ใช้งาน(Occupant Safety Management )
ทำหน้าที่ควบคุมระบบแจ้งเตือนไฟไหม้ ระบบดับเพลิง ระบบอัดอากาศ และระบายควัน โดยการทำงานจะประสานกันทั้งหมด เพื่อให้ระบบการป้องกันภัยมีประสิทธิภาพสูงสุด
8.โครงสร้างอาคาร ( Building Structure)
การใช้โครงสร้างที่มีความยืดหยุ่นสูง (Structure Design whit Flexibility) ควรใช้โครงสร้างที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ง่าย โดยเฉพาะการเดินท่อ เพื่อร้อยสายสัญญาณเพิ่มในภายหลัง
1.ระบบผนังอาคารภายนอก (External Skin System) ระบบผนังอาคารที่ดี ควรตอบสนองและสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานอาคาร
2.ระบบพื้นยก ( Raised Floor System หรือ Access Floor System)
การใช้ระบบพื้นยกมีความจำเป็นสำหรับอาคารมาก เพราะมีการเดินสายสัญญาณงานระบบต่างๆ เป็นจำนวนมาก











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น